วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรื่อยๆ ชิลล์ๆ ดูวิวโขง ตอน 5 : กลับและ ยังแวะชิม

          เช้าวันสุดท้ายของการเดินทาง มักจะเป็นวันที่เซ็งที่สุด เพราะรู้ตัวว่าต้องกลับบ้านแล้ว อดเที่ยวต่อ งานที่ลาไว้ก็ต้องกลับไปทำ เงินที่เก็บมาเที่ยวก็กำลังจะหมด

          ผมตื่นอย่างเกียจคร้านในวันสุดท้าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสันดาน หรือเพราะตื่นเช้าติดกันมาหลายวันเลยหมดความขยัน เช้านี้ท้องไส้ไม่ค่อยดี เพราะเมื่อคืนหลังจากหิ้วท้องมาจากเชียงคาน ก็มาลงเอยที่ร้านข้าวต้มในเมืองเลย รสชาติโอเค เสียดายที่จำชื่อร้านไม่ได้ จำได้เพียงอยู่ใกล้ๆกับร้านคุณยาย และศาลเจ้า

          ผมจิบเบียร์แกล้มไส้พะโล้ และยำผักบุ้งกรอบ สั่งลาคืนสุดท้ายของทริปนี้ ใจจริงอยากจะสั่งต่ออีกสักขวด และนั่งดูพรีเมียร์ลีคต่ออีกหน่อย แต่เกรงใจคุณภรรยา

          เราเช็คเอ๊าท์จากม้วนมาณี โดยถามเจ้าหน้าที่โรงแรมว่าควรซื้ออะไรเป็นของฝากคนที่บ้านดี เค้าแนะนำร้านของฝากร้านหนึ่งที่ผมวาดภาพไว้อลังการ แต่พอไปถึงก็พบเพียงของขบเคี้ยว ลูกพรุนซันสวีท (หายากตายล่ะ) และไวน์ชาโตเดอเลย ที่ราคาไม่ย่อมเยาว์เอาซะเลย คุณภรรยาเลยได้หมูยอมาหน่อยนึง

          ออกจากเลยมาแบบท้องว่างๆแต่ปวดมวนๆ กะจะฝากท้องไว้ที่้ร้านสะเต็กภูเรือ ได้ยินว่าอยู่ตรงข้ามกับปั๊ม ปตท. พอขับมาถึงดันหาร้านไม่เจอ เจอแต่ปั๊ม ปตท. สาขาภูเรือที่มองไกลๆนึกว่าลานจอดรถ เพราะรถเข้าไปอัดกันในปั๊มแบบไร้ทิศทาง อย่างกับโดนซึนามิซัด (แต่เราก็แวะเติมน้ำมันที่นี่นะ ก็มันมีอยู่ปั๊มเดียวนี่)

          ผมปวดท้องจนทนไม่ไหว เหลือบมองเมีย เมียก็อาจจะเหวี่ยงได้ถ้าไม่รีบหาอะไรให้กิน เราก็มาหยุดที่หน้า "ร้านภูเรือไก่ย่าง"


          ดูหน้าร้านนึกว่ามีงานขึ้นบ้านใหม่ เนื่องจากโต๊ะหน้าร้านจะตั้งอยู่ใต้เต้นท์ผ้าใบสีขาว มีวัยรุ่น 2-3 คน เป็นพนักงานรับออร์เดอร์ ผมวิ่งเข้าห้องน้ำปล่อยให้คุณภรรยาสั่งของกิน

          สักครู่เราก็ได้ ไก่ย่างภูเรือ ผัดหมี่ภูเรือ ยำผักกูด และน้ำตกเนื้อ เฮ้ย! อร่อยอ่ะ ไก่ย่างงั้นๆ แต่ยำผักกูดผักกรอบดีมาก ให้ 7/10 เป็นร้านที่บังเอิญไปเจอ แต่รสดีกว่าบางร้านที่ตั้งใจไปกิน


          น้ำมันก็เติมแล้ว ข้าวก็กินแล้ว เสร็จจากมื้อนี้ ผมก็ยิงตรงมาตามเส้นเดิม โดยมีคุณภรรยาที่หลับลืมโลกอยู่ข้างๆ ผ่านนครไทย ชาติตระการ ทองแสนขัน เลี้ยวขวาที่แยกน้ำอ่าง ยาวมาตามสาย 11 แวะเข้าห้องน้ำ และซื้อขนมฝากเพื่อนร่วมงานที่ปั๊มแถวอุตรดิตถ์ จนมาแวะอีกครั้งที่ "ร้านก๊วยเตี๋ยวลูกทุ่ง" อำเภอห้างฉัตร ลำปาง (จากสาย 11 เลี้ยวเข้าห้างฉัตรไปนิดเดียวจะอยู่ซ้ายมือ)

          ร้านนี้เค้าดังตรงที่จะใส่ลูกชิ้นให้ลูกเดียว 35 บาท ถ้าพิเศษ 2 ลูก ก็ 50 บาท ทั้งลูกชิ้นหมู และลูกชิ้นเนื้อ นั่งกินไปดูรูปคนดังที่เคยมากิน ซึ่งติดโชว์ไว้ข้างฝาไป นึกในใจ...ลูกสาวเจ้าของร้านก็ดูน่ารักดีนะ (ฮ่า)


          ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพตอน 5 โมงเย็น เป็นการเที่ยวภาคอีสานแบบจริงจังขับรถเองครั้งแรกของผม เป็นประสบการณ์ที่คงไม่ลืม แต่ก็คงไม่ซ้ำ

          อีสานทริปนี้มีอะไรดีๆเยอะครับ แต่อะไรดีๆที่ได้เจอ ก็ยังไม่มีอะไรดีๆ ที่ดีพอจะพูดได้เต็มปากว่า "โคตรประทับใจ" แต่ก็ยังหวังว่าจะได้เจอกันอีก

          ขอบคุณที่อ่านครับ


วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรื่อยๆ ชิลล์ๆ ดูวิวโขง ตอน 4 : เชียงคาน โอ้! ไม่!

           
          เช้าวันที่ 4 ของการเดินทาง เราเริ่มมื้อเช้าที่ร้าน "พรเทพ" ร้านดังจากอินเตอร์เน็ท ที่ขายอาหารเช้าทุกเชื้อชาติ มีตั้งแต่ อเมริกัน-เบรกฟาสต์ ข้าวต้มเครื่อง ต้มเลือดหมู-เครื่องใน ไข่กะทะ และเส้นเปียก (คล้ายๆแกงจืดหมูยอใส่วุ้นเส้นก็ไม่ใช่ ขนมจีนก็ไม่เชิง)


          ผมสั่งต้มเลือดหมู-ข้าวเปล่ามากิน (40 บาท) ส่วนคุณภรรยาสั่งข้าวเปียก (35 บาท) แถมหมูยอทอดอีก 1 ชิ้น (15 บาท) ปรากฏว่า เออ! รสดีแฮะ เมียพอใจกับข้าวเปียกมาก ชมไปซดไปไม่ขาดปาก เลยสั่งไข่กะทะ (25 บาท) กับขนมปังยัดไส้ (แป้งจี่) มาลองอีกคนละอัน ก็อร่อยดี สรุปว่าพอใจกับร้านนี้มาก ให้เกรด 8/10 หักคะแนนสภาพร้าน และไม่มีที่จอดรถ เสียดายที่ไม่ได้ลอง ชา-กาแฟ เพราะสั่งไปแล้วไม่ได้ของ คนจดออร์เดอร์คงจะลืม


           ร้านพรเทพ อยู่ตรงข้ามกับโรงหนังศรีเทพ โรงหนังสุดคลาสสิคบนพื้นโลก (โรงหนังสมัยนี้เค้าไม่อยู่บนพื้นโลกกันแล้ว เค้ายกกันไปอยู่บนห้าง ห่างจากพื้นโลกหลายชั้นอยู่) วันที่ผมไป โรงหนังนี้ก็ยังคงฉายตามปกติ ฉายเรื่อง 30 กำลังแจ๋ว อั้มภัชราภา นำแสดงซะด้วย ควบกับเรื่องอะไรจำไม่ได้แล้ว รอบที่ฉายและราคาก็ตามภาพข้างล่างเลยนะครับ นี่ถ้าไม่รีบจะอุดหนุนสักหน่อย หนังควบเนี่ยชอบนัก
          
          ท่านใดอยากมาอุดหนุนทั้งร้านพรเทพ และโรงหนังศรีเทพ ก็ลองถามทางเอาก็แล้วกันนะครับ บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ย่านนี้เค้าดัง รู้จักกันทั้งนครพนมนั่นแหละ ข้างๆโรงหนังศรีเทพ ก็ยังเป็นโรงแรมศรีเทพ โรงแรมเก่าแก่ของเมืองนครพนมอีกด้วย


          เราโบกมือลานครพนมมาตามถนนสาย 22 ผ่านสกลนคร พรรณานิคม (พ่อบอกว่ามีร้านไก่ย่างอร่อย แต่เรายังอิ่มมาจากร้านพรเทพ) สว่างแดนดิน หลงเข้าเมืองอุดรธานีนิดหน่อย แล้วกลับทางเก่า สู่หนองบัวลำภู มีรถติดขบวนฯราว 1 ชั่วโมง ก่อนเข้าตัวเมืองเลย เช็คอินเข้าที่พัก "ม้วนมาณี"

          ใจจริงกะจะไปนอนที่เชียงคาน แต่จองที่พักล่วงหน้าครึ่งปีไม่มีที่ไหนว่างเลย งงเหมือนกันว่าที่พักในเชียงคานช่วงวันหยุดยาวมันหายากขนาดนี้เลยหรือ เลยจองที่พักในอำเภอเมืองเลยแทน ทีแรกโทรฯจองไว้กับ "เลยวิลเลจ" ปรากฏว่า 1 สัปดาห์ก่อนเดินทางโทรฯไปคอนเฟิร์ม เลยวิลเลจบอก "ไม่มีชื่อจองไว้นะคะ วันดังกล่าวมีทัวร์มาลงค่ะ" เราเลยต้องหาที่นอนอื่น พอจองที่อื่นได้ วันก่อนเดินทาง เลยวิลเลจโทรฯมาอีก "ห้องที่จองไว้ เอาอยู่ไหมคะ?" ดูมันทำ! จองที่พักมาหลายที่ไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้!

          ม้วนมาณี อยู่ซอยเดียวกันกับ เลยวิลเลจ นี่ล่ะ เข้าซอยไปลึกประมาณ 1 กิโลเมตร จากถนนนกแก้ว อยู่ไม่ไกลจากวงเวียนน้ำพุ ปากซอยฝั่งตรงข้ามเป็นร้าน เจเจเนื้อย่าง จำไม่ได้ว่าค่าพักคืนละเท่าไหร่ น่าจะประมาณ 600-800 บาท ไม่มีอาหารเช้า ดูไกลๆนึกว่าห้องเช่ารายเดือน สูง 4 ชั้น ไม่มีลิฟท์ เราได้นอนชั้น 4 เลยต้องเดินกันหน่อย ที่จอดรถค่อนข้างน้อย ผมกลับมาจากเที่ยวตอน 5 ทุ่มเลยได้ไปจอดปากทางเข้า ไม่น่าเชื่อว่าที่พักในเมืองเลยจะขายดีขนาดนี้ เห็นมีวอร์กอินถามหาที่พักกันตลอด


          เราพักผ่อนกันสักครู่แล้วเดินทางต่อไปยังอำเภอเชียงคาน ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของอำเภอเมืองเลย ห่างออกไปราว 50 กิโลเมตร ตามเส้นทางสาย 201 ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 4 โมงเย็น รถมุ่งหน้าสู่เชียงคานเยอะมาก เราคาดหวังความประทับใจ แต่ก็ยังหวั่นๆกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่สังหรณ์ใจว่าน่าจะเยอะ
          เชียงคานเหมือนเมืองปลายหัวลูกศร ใครๆก็พุ่งตรงไปหา เข้าออกด้วยถนนสายหลักสายเดียว ผมได้ที่จอดรถในวัดแห่งหนึ่งจำชื่อไม่ได้ ถอยกลับรถหันหน้าออกเรียบร้อย เตรียมตัวกะจะออกง่ายๆถ้าถนนแคบ เราเดินเล่นดูเมืองไปสักพัก อากาศไม่ได้หนาวเย็นอย่างที่หวัง

          บ้านเรือนเป็นเรือนไม้เก่าๆ สูงไม่เกิน 2 ชั้น แต่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ถนนคนเดินกำลังตั้ง ขนานไปกับถนนริมแม่น้ำโขง ที่ร้านและบ้านพักทั้งหลายกำลังออกมากางโต๊ะ-เก้าอี้ บ้างก็ก่อสร้าง-ต่อเติม มีภาพขยะรกตา ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนเจอดาราสาวที่เคยได้ดูแต่ในทีวีแล้วสวยเหลือเกิน แต่พอมาเจอตัวจริงแล้วไม่สวยเหมือนในทีวี


          ระหว่างที่เดิน จะได้ยินนักท่องเที่ยวเข้าถามตามที่พัก "มีห้องว่างไหม?" ตามมาด้วยคำตอบ "เต็มจ้ะ" ในร้านอาหารก็จะเห็นป้ายประเภท "ครัวปิด" ไม่ก็ "โต๊ะจอง" เต็มไปหมด ดาราสาวคนนี้แม้จะไม่สวยเหมือนในทีวี แต่งานโชว์ตัวก็ชุกจังเลย


          มาถึงตอนนี้คุณภรรยาชักหิว เนื่องจากมื้อสุดท้ายของเราก็ที่นครพนม เลยต้องหาร้านแวะสักหน่อย พนักงานของม้วนมาณีแนะนำว่า ให้ไปลองร้านเฮือนหลวงพระบาง พอไปถึงปรากฏว่าร้านมีบริษัทประกันชีวิตมาจองโต๊ะเต็มพรึ่ด เราก็วกเข้าถนนสายริมแม่น้ำ จนมาเจอร้าน "เฮือนฝ้ายคำ" ร้านสวยมี 2 ชั้น ชั้นบนเป็นระเบียงน่านั่ง (ซึ่งมุมน่านั่งทั้งหลายก็มีป้ายติดไว้ว่าถูกจองแล้วเต็มพรึ่ดเช่นกัน) ผมเลยลากโต๊ะกลมมา 1 ตัว กับเก้าอี้อีก 2 ตัว นั่งกับคุณภรรยา


          เมนูน่ากินหลายอย่าง ดูจากโต๊ะข้างๆมียำ และปลาทอดตัวเป้งๆ แต่ในเมนูไม่มีราคากำกับนะครับ ผมบอกเมียว่าให้สั่งอาหารจานเดียวกินง่ายๆ เพราะคนเต็มร้าน น่าจะรอนาน และเราอยากจะเดินหาของกินในถนนคนเดินมากกว่า สั่งเยอะเดี๋ยวจะอิ่มเสียก่อน อดกินของอร่อยของเจ้าถิ่น

          เธอสั่ง ข้าวผัดแหนม ข้าวกะเพราไก่ (ไม่มีไข่ดาวนะ เดี๋ยวจะหาว่าสั่งสิ้นคิด) และโค้กเล็ก 2 ขวด เช็คบิลมา ข้าวจานละ 90 บาทครับ รสชาติดีนะ แต่ราคานึกสยองแทนโต๊ะข้างๆ ที่มากันร่วม 10 คน แล้วสั่งกับข้าว สั่งปลามาเต็มโต๊ะ ตอนเช็คบิลคงจะอะเมซซิ่งเชียงคานแน่ๆ คิดคะแนนให้ร้านนี้ไม่ถูกจริงๆครับ ยอมรับว่ารสดี แต่โคตรแพง! กินแล้วรู้สึกแสบ เหมือนถูกใครมาขูด


          เชียงคานวันนี้ที่ผมไปไม่ได้น่าสนใจไปกว่าปาย ถนนคนเดินไม่ได้ตื่นตาตื่นใจไปกว่าถนนคนเดินลำปาง (ไม่ขอเปรียบเทียบกับถนนคนเดินเชียงใหม่นะ) ของกินไม่ได้หลากหลายไปกว่าปากซอยบ้านคุณภรรยา

          เชียงคานไม่ได้ผิด ผมผิดเอง เชียงคานเป็นเพียงอำเภอเล็กๆที่กำลังเป็นที่กระหายของนักท่องเที่ยว เนื้อที่ก็มีแค่นี้ ที่พัก-ร้านอาหาร ที่จอดรถ แม้แต่ที่ให้ยืน ก็มีอยู่อย่างจำกัด คนแห่มากันทำไมตั้งมากมาย อยากได้ที่ห้องพักดีๆก็ไปปายสิ ที่นี่มีแต่บ้านเก่าๆที่ดัดแปลงเป็นห้องพัก อยากเดินบนถนนคนเดินตื่นตาตื่นใจก็ไปเชียงใหม่สิ ที่นี่มีแต่เสื้อยืด อยากหาของกินหลากหลายก็ไปหาตลาดโต้รุ่งแถวบ้านนู่น ที่นี่มีแต่ข้าวจี่กับกุ้งฝอยแม่น้ำโขงเสียบไม้ย่าง


          เราลาเชียงคานในเวลาอันรวดเร็วหลังจากได้เสื้อยืดมาคนละตัว (เอาสักหน่อย ไหนๆก็มาถึงแล้ว) ก่อนกลับยังได้ยินนักท่องเที่ยวกลุ่มถึงมายืนตะโกนถามคนที่เดินผ่านไปมาว่า "ใครจอดรถในวัด ทะเบียนบลาๆๆ" ประมาณว่า ใครจอดรถขวางรถตูเว้ย ชาวบ้านเค้าจะกลับแล้ว ไปย้ายรถด้วยเว้ย

          ผมยังหวั่นๆว่า รถตัวเองจะโดนจอดขวางด้วยหรือเปล่า พอเดินมาที่รถก็ใช่จริงๆ ยังอุตส่าห์มีคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ไม่สนล่ะ ว่าคนที่เค้ามาตั้งแถวจอดรถอยู่ก่อนเค้าจะออก-จะกลับอย่างไร ก็ข้าไม่มีที่จอดนี่หว่า เอ็งอยากมาถึงก่อนทำไมล่ะ จอดขวางแม่งเลย ตูอยากเที่ยวตูไม่สน ตั้งแถวใหม่ขวางมันทั้งกลุ่มนี่ล่ะ (เฮ้อ!) โชคยังดีที่ผมกลับรถรอไว้ก่อน และรถคันที่ขวางผมเพิ่งจะออกไป เลยมีช่องให้กลับที่พักได้ในคืนนี้ เออนะ อะเมซซิ่งเชียงคาน!

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรื่อยๆ ชิลล์ๆ ดูวิวโขง ตอน 3 : กินๆเที่ยวๆ เลี้ยวเข้าอีสาน

          ที่หนองคาย มีหลายร้านที่มักจะตั้งชื่อร้านเป็นประโยคคำถาม เช่นร้านขนมปัง "ปังอ๊ะป่าว" "ปังไหมล่ะ" หรือ "น้ำไรอ่ะ" นี่ขายน้ำปั่น ชวนให้คิดไปถึงว่า อาจจะมีโรงแรม "นอนไหมเล่า" ปั๊มน้ำมัน "เบนซินป่าวอ่ะ" หรือสถานีตำรวจ "ปรับได้ป่าว" (ฮ่า)

          เช้าที่ 2 ในหนองคาย เ้ช้าที่ 3 ของการเดินทาง ผมตื่นเช้าอีกแล้ว ไม่รู้คึกอะไรมาทริปนี้ขยันตื่นจัง เมื่อคืนซัดพาราเซตามอลไป 2 เม็ด แล้วนอนเลย เช้านี้เราตั้งใจจะลองอาหารเช้าของโรงแรมไวท์อินน์แห่งนี้บ้าง ข้อแรกคือเมื่อวานที่ไปชิมไข่กะทะมา ไม่ประทับใจเท่าที่ควร ข้อสองคือกะเอาให้คุ้มหน่อย ค่าห้องเค้ารวมค่าอาหารเช้าไปแล้ว

          ห้องรับประทานอาหารมีแขกเพียง 2 โต๊ะเท่านั้น อาหารก็มีเมนูให้เลือกไม่กี่อย่าง ไมโล-กาแฟ ขนมปังปิ้ง-เนย ไข่ดาว ไส้กรอก แฮม ข้าวต้ม-กุนเชียงทอด ผักกาดดอง ปลากรอบ ข้าวสวย-กะเพราไก่ หมูอบ

          แต่เฮ้ย! รสชาติใช้ได้เลย ตอนแรกกะเอาแค่รองท้องกะไปกินกลางทาง แต่กินไปกินมาล่อซะอิ่ม กะกินอีกทีก็บ่ายๆไปเลย ไม่น่าเชื่อนะ น้อยนิดแต่ใหญ่ยิ่ง!


          กินเสร็จเราเตรียมตัวอีกนิดหน่อย แล้วออกเดินทางสู่เป้าหมายที่ 2 จังหวัดนครพนม

          มีเสียงแนะนำมาว่า จากหนองคาย ถ้าจะไปนครพนม ให้ไปตามเส้น 212 เลียบแม่น้ำโขง ผ่านจังหวัดบึงกาฬ จะขับสบายกว่า และใกล้กว่า แต่ผมตั้งใจจะพาคุณภรรยาไปให้ถึงอำเภอธาตุพนม เพื่อสักการะพระธาตุพนม พระธาตุประจำปีเกิดของภรรยา (ปีวอก) จึงเลือกเดินทางกลับไปทางอุดรธานี แวะเติมน้ำมันอีก 1 ถัง 1,500 บาท (น้ำมัน ปตท.ถูกว่าเชลล์แฮะ) แล้ววิ่งตามเส้น 22 ผ่าน อำเภอสว่างแดนดิน พรรณานิคม แล้วเข้าสกลนคร ถนนขับยากนิดหน่อยเนื่องจากเป็น 2 เลน รถต้องวิ่งสวนทางกัน และมีรถบรรทุกอยู่บางช่วง ระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร โดยหวังจะหา้ร้านสเต็กเนื้อโพนยางคำของแท้ กินเป็นวาสนาลิ้นสักครั้งหนึ่งในชีวิต (เห็นฮิตกันนักหนา โพนยางคำ แต่ของผมกินถึงแหล่งเว้ยเฮ้ย!)

          จากตัวเมืองสกลนคร ออกหมายเลขอะไรจำไม่ได้แล้ว จำได้แต่เพียงเป็นสายที่มุ่งหน้าสู่อำเภอนาแก และอำเภอธาตุพนม ขับเรื่อยๆไม่ไกล ก็เห็นป้าย "บ้านโพนยางคำ" ทางซ้ายมือ เอาละเว้ย! ใกล้แล้วใกล้แล้ว ขับมาจนเจอป้าย "สหกรณ์การเลี้ยงปศุสัตว์ กรป. กลาง โพนยางคำ จำกัด" อันเบ้อเร้อใหม่เอี่ยมทางขวามือ ก็เลี้ยวขวา มีป้ายบอกร้านสเต็ก 600 เมตร


          ร้านสเต็กตกแต่งแบบง่ายๆ ไม่มีอะไรเด่น มีกลิ่นขี้วัวโชยมาเป็นระยะ จอดรถแบบง่ายๆ ส้วมก็เป็นแบบง่ายๆ โต๊ะ-เก้าอี้ก็ง่ายๆ แต่ลูกค้าก็ไม่น้อย ผมไปถึงตอนสักบ่ายโมงครึ่ง พอมีโต๊ะว่าง นี่ถ้ามาช่วงเที่ยงก็ไม่แน่ใจ

          เมนูราคาไม่แพง ผมสั่งเซอร์ลอยสะเต็ก (175 บาท) เสิร์ฟพร้อมมันทอด และสลัดผัก (แบบง่ายๆอีกเหมือนกัน คือมันทอดง่ายๆ กับสลัดง่ายๆที่ประกอบไปด้วยกระหล่ำปลีซอยกับมะเขือเทศนิดหน่อย) คุณภรรยาสั่ง ซัคสเต็ก (140 บาท) แล้วหันมาถามผม "อะไรวะ" ผมตอบในฐานะที่เรียนด้านปศุสัตว์มาโดยตรง "อ๋อ ซัคไง เคยดูหนังเรื่องซัคซี๊ดห่วยขั้นเทพไหมล่ะ ซัคสเต็กก็คือสเต็กห่วยๆมั้ง" เธอสบายใจที่ได้คำตอบ ร้านนี้ผมให้ 7/10 ครับ ตัด 1 คะแนนคุณภาพเครื่องเคียง 1 คะแนนไปลำบาก และอีก 1 คะแนนบรรยากาศร้าน นี่ถ้าร้านสวย ทำที่จอดรถดีๆ และไม่เหม็นขี้วัวนะ เอา 10 เต็มไปเลย


          สบายใจ สบายท้องกับโพนยางคำของแท้สุดๆกันแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่อำเภอธาตุพนม อำเภอนี้อยู่ห่างจากอำเภอเมืองนครพนม ทางทิศใต้ประมาณ 50 กิโลเมตร เราเข้าเมืองแล้วมองหาสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ซึ่งหาไม่ยากนัก มองเห็นอยู่ไกลๆ เราก็ค่อยๆขับเข้าไปหาให้ใกล้ที่สุด

          มารู้ตัวอีกทีก็เข้าเขตวัดพระธาตุพนมแล้ว เป็นวัดที่สวยงาม และใหญ่มาก ขณะชลอรถหาที่จอดยังไม่สนิทดี บรรดาแม่ค้าขายดอกไม้ก็เฮโลเข้ามาที่รถ! นึกถึงภาพซอมบี้ในหนังเรสซิเด้นอีวิลที่ล้อมกันเข้ามาหารถ! ผมก็สวมวิญญาณพระเอกหนังขับรถหนีหาที่จอดใหม่!


          ท่ามกลางเสียงประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ทำบุญ และเสียงประชาสัมพันธ์ว่าในบริเวณวัด จอดรถที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องเกรงใจแม่ค้าขายดอกไม้ เข้ามาอุดหนุนดอกไม้ที่ทางวัดเตรียมไว้ดีกว่า เราสักการะพระธาตุ ทำบุญ และเดินดูมุมต่างๆภายในวัด ดูคุณภรรยาอิ่มเอิบใจดีมาก โทรฯหาแม่บรรยายถึงความประทับใจ ดูมีความสุขสมหวังเหมือนบรรลุวัตถุประสงค์อะไรสักอย่างในชีวิต ที่รอมาแสนนาน (ถึงแดดจะร้อนแต่ดูเธอมีความสุขจริงๆนะ)


          ออกจากวัด เรากลับเข้าอำเภอเมืองนครพนม โดยใช้เส้นทาง 212 เลียบแม่น้ำโขง เห็นวิวแม่น้ำโขงและฝั่งลาวเป็นระยะ ขับสบายๆเพราะถนนดี 4 เลน รถไม่ต้องสวนกัน ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ก็ถึงเมืองนครพนม หาไปหามาปรากฏว่าเลยโรงแรมที่ได้จองไว้ "ไอ-โฮเตล" มาแล้ว เลยต้องย้อนกลับทางเดิม

          ไอ-โฮเตล อยู่ห่างจากเมืองนครพนม 2.5 กิโลเมตร ถ้ามาจากอำเภอธาตุพนมจะอยู่ขวามือก่อนเข้าเมือง ติดราคาไว้หน้าโรงแรมว่า สมาชิก 400 บาท ทั่วไป 590 บาท ต่อคืน มีเครื่องดื่ม และขนมปังปิ้ง ให้กินฟรีนิดหน่อยในตอนเช้า ตกแต่งแบบสมัยใหม่ ไม่มีห้องอาหาร ล็อบบี้แคบๆ มีโต๊ะพูล 1 ตัว และทีวีที่มีป้ายบอกว่า ถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีคนะเฟ้ย!

          
          ห้องก็กว้างมาตรฐาน แต่เตียงยับไปหน่อยนะ เราพักผ่อนสักครู่ แล้วออกไปลุยกันต่อในเมืองนครพนม พยายามขับรถผ่านสถานที่ต่างๆ ชะโงกดูวิวแม่น้ำโขง แล้วไปเดินเล่นที่ตลาดโต้รุ่ง

          อากาศที่นี่ดีครับ เย็นที่สุดในทริปนี้ ได้ล้วงเอาเสื้อกันหนาวจากเป้มาใส่ นึกว่าจะไม่ได้ใช้ซะแล้ว ตลาดก็น่าสนใจ มีของน่ากินหลายอย่าง คุณภรรยาเลือกซื้อหมูปิ้งธรรมดา หมูปิ้งห่อใบยอ และหมูปิ้งแบบหมูสับปรุงรส (ไม้ละ 5 บาท) ชิมคู่กับข้าวจี่ (ข้าวเหนียวปั้นแบนๆ ทาไข่ไก่แล้วย่างไฟ 2 ชิ้น 5 บาท) หมูมันๆ ข้าวอุ่นๆ อร่อยอ่ะ! ก่อนกลับยังซื้อหมูยอปรุงรสมาชิมอีก 1 ชิ้น ชิ้นเท่าแผ่นดีวีดี (25 บาท) และซาลาเปาหมูสับ (10 บาท)


          ก่อนกลับที่พัก อากาศเย็นลงเรื่อยๆ เราตระเวนหามื้อเย็นจนมาได้ที่ "ครัวริมโขง" เป็นร้านแนวผับมีแสดงดนตรี และมีห้องคาราโอเกะด้วย ร้านนี้อยู่ริมแม่น้ำโขงเลย แต่เรานั่งชมวิวริมน้ำไม่ไหวแน่เพราะลมแรงเหลือเกิน เลยขอนั่งในห้องกระจกด้านใน เราสั่งชุดหม้อไฟปลาคัง จริงๆเค้ามีปลาให้เลือก 4 ชนิด ปลาคัง ปลาบึก ปลาแข้ แล้วก็ปลาอะไรอีกอย่างจำชื่อไม่ได้ ผมเลือกปลาคังเพราะคุ้นชื่อที่สุด เคยกินปลาคังลวกจิ้มมาบ้าง ปลาบึกผมว่ามันคาว ส่วนไอ้ปลาอีก 2 อย่างที่เหลือไม่รู้จัก

          ชุดนี้ 199 บาท ก็คุ้มค่าดี ให้ผักมาเยอะมาก ผักบุ้ง ผักกาดขาว คึ่นช่าย ใส่ลงในหม้อมองแล้วนึกว่าจับฉ่าย ไหนจะวุ้นเส้นอีก หนาวๆได้ซดน้ำจับฉ่ายอุ่นๆ ที่คุณภรรยาคอยตักให้เอาใจ ร้านนี้สั่งเค้ากินแค่อย่างเดียว ให้คะแนนไม่ถูกครับ

     
      ...(ต่อตอน 4 ครับ)...