เราเดินไปตามเส้นทางที่คุณพี่คนขับรถสกายแล็ปบอก ผ่านโชว์รูมฮุนได (รถฮุนไดอีเลนทร้ารุ่นใหม่สวยดี ยังไม่เคยเห็นวิ่งในเชียงใหม่ แต่ที่เวียงจันทร์เห็นขับอยู่หลายคัน) ผ่านสถานทูตเวียดนาม แวะเข้าไปขอใช้ห้องน้ำในโชว์รูมโตโยต้า รวมเดินประมาณ 20 นาที ก็มีโผล่เอา "ประตูไซปาร์ค" ซึ่งเป็นสวนหย่อมด้านทิศเหนือของ ประตูไซ สัญลักษณ์อีกแห่งของเวียงจันทร์ เป้าหมายอันดับที่ 2 ของเรา
ผมถ่ายรูปรอบๆประตูไซไปหลายท่า ถ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราเห็นตรงกันว่า มันดูภูมิฐาน และดูหล่อเหลา น่ามองมาก ในแง่ของสัญลักษณ์ประจำเมือง แม้ว่าจะมีคนบอกว่าสร้างเลียนแบบประตูชัยในปารีส (ก็ผมไม่เคยไปปารีสนี่หว่า)
ภายในประตูไซ มีทางเดินขึ้นโดยเสียค่าเข้าชม (ดูจากเวบไซท์อื่นๆ เค้าว่า 10 บาท และมีของขายด้านบน) ผมพาภรรยาไปชะเง้อดูทางขึ้น เห็นว่าเป็นบันไดค่อนข้างแคบ ชัน และสูง กะจากสายตาคงต้องเดินขึ้นไปไม่ต่ำกว่าตึก 4 ชั้นแน่ๆ คุณภรรยาบอกขอบาย ผมน่ะอยากขึ้น ไหนๆก็เดินทางมาตั้งไกล จะเดินต่ออีกสัก 4 ชั้นคงไม่ถึงตาย แต่จะทิ้งเมียให้นั่งคอย แล้วเราเดินขึ้นคนเดียวมันก็ใช่ที่ เอาก็เอา ไม่ขึ้นก็ไม่ขึ้นด้วยกัน
เราเลยถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันต่อ เนื่องจากทริปนี้ยืมขาตั้งกล้องน้องที่ทำงานมาด้วย เลยขยันถ่ายรูปคู่กันแบบไม่ต้องเกรงใจใคร ปกติวานคนอื่นถ่ายให้ เกรงใจ๊เกรงใจ จะทำท่าสวีทมากก็อายเค้า
จากประตูไซ มองไปไกลๆ จะเห็นอาคารรัฐสภาของประเทศลาว (เอ๊ะ! หรือที่ทำการรัฐบาลลาว) ดูสง่างามสมฐานะ ไม่รู้ว่าสภาเค้าจะมีคนเข้าทำงา่นเยอะหรือเปล่า จะตอกบัตรแทนกันไหม แล้วจะล่มเพราะองค์ไม่ชุมไม่ครบบ้างไหม
ด้านหน้าของประตูไซ เป็นถนนล้านช้าง ผมว่าน่าจะเป็นถนนอันดับ 1 ของประเทศลาวเลยล่ะ เพราะกว้างที่สุด และมีสถานที่สำคัญๆ อยู่หลายแห่ง
ผมนำคุณภรรยาเดินต่อมาตามถนนล้านช้าง อ้างกับเมียว่าเดินเดี๋ยวเดียว ใจจริงก็อยากเรียกรถให้ แต่พออยากได้ สกายแล็ปทั้งหลายก็หายไปกันหมด
เป้าหมายของเราคือ "ร้านโจมาค๊อฟฟี่" ร้านกาแฟและเบเกอรี่นามระบือของประเทศลาว ที่อยู่บนถนนน้ำพุ บริเวณน้ำพุสแควร์ สุดถนนล้านช้างนี่ล่ะ เดินไปก็ถามทางไป ผมเลือกถามทางนักเรียน น่าแปลกที่นักเรียนชาวลาว สื่อสารกับเราไม่ได้ ทั้งที่ผมถามเป็นภาษาไทย เอ...หรือต้องพูดฝรั่งเศสหว่า ผมพูดเป็นที่ไหนเล่า! จนเจอคุณป้าคนหนึ่ง แกฟังเราคุยกับนักเรียนอยู่นานจึงชี้ทางให้
ระหว่างทางจะผ่าน "ตลาดเซ้ามอลล์" น่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าชื่อดังของลาวเลยล่ะ และธนาคารกรุงไทย สาขาเวียงจันทร์ ด้วยความที่ภรรยาผมทำงานกรุงไทย เราเลยอดไม่ได้ ไปเจอกรุงไทยที่ไหน ต้องถ่ายเก็บไว้ โดยเฉพาะสาขาเวียงจันทร์นี่ อาคารเค้าไม่เลวเลยทีเดียว สวยงาม และเป็นเอกลักษณ์
เดินไปก็หันมามองคุณภรรยาไป เมียก็หน้าหงิกลงหงิกลง ซึ่งเป็นผลลัพท์ของ พลังงานอากาศร้อน คูณด้วย ระยะทาง
เดินมาจนสุดถนนล้านช้าง เจอ 3 แยกหน้าวัดศรีสระเกศ (ผมสะกดแบบไทยๆนะ) ก็เลี้ยวขวา รวมระยะเวลาเดินราว 25 นาที ก็จะเห็นป้ายร้านโจมาอยู่ไกลๆ ฝั่งตรงข้ามเป็นร้าน "ขอบใจเด้อ" ร้านอาหารกึ่งผับที่ดูไม่เลวเลย เราตัดสินใจกินข้าวกับขอบใจเด้อก่อน
ร้านตบแต่งได้ดี อินเตอร์ น่านั่ง คุณภรรยาดูจะอารมณ์ดีขึ้น สั่งเนื้อย่าง แกงปลา ลาบไก่ แล้วก็ข้าวเหนียว โดยไม่ลืมที่จะย้ำ "เนื้อนี่เนื้ออะไร เนื้อวัวใช่ไหม ต้องเนื้อวัวนะ" คือเมียคงหลอนกลัวเนื้ออย่างอื่นน่ะครับ
รสชาติพอไหว แกงปลาปลาก้างเยอะมาก ร้านนี้ดีตรงที่พอเรียกคิดเงิน บิลจะคำนวนมาให้เสร็จว่า เป็นเงินกีบกี่กีบ ดอลล่าห์กี่ดอลฯ ยูโรกี่ยูโร เงินบาทกี่บาท เราต้องเสียให้มื้อนี้ 534 บาทครับ ให้ 7/10 จากร้านสวย อาหารพอไหว ตัด 1 คะแนนราคาแบบนักท่องเที่ยว สูงไปนิดวัตถุดิบธรรมดาๆ 1 คะแนนรสชาติยังกลางๆ และอีก 1 คะแนนคือมายาก ก็นี่มันไม่ใช่บ้านเรานี่นะ
อิ่มแล้วก็ข้ามมาฝั่งตรงข้าม โจมาค๊อฟฟี่ ฝรั่งนั่งกันให้พรึ่บ จนมองว่า เอ...จะมีที่นั่งไหมหว่า แต่ต้องกินให้ได้ ตั้งใจมาขนาดนี้ เราตรงเข้าไปสั่ง กาแฟเย็น 2 ชนิด กับขนม 2 ชิ้น เมนูขนมมีให้เลือกเยอะจนลานตา ราคาก็มาตรฐาน ออกจะถูกกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำในบางเมนู เราเสียเงินให้ร้านนี้ 240 บาท
คุ๊กกี้ช็อกโกแลตชิปชิ้นใหญ่มาก แต่เนื้อนิ่มไม่กรอบ สกอนกับแยมก็นิ่มเช่นกัน ส่วนกาแฟก็ขมๆคล้ายๆกัน เอ...หรือนี่คือรสชาติแบบสากลที่เราเองลิ้นไม่ถึง ไม่คุ้นเคย ให้ 8/10 ครับ สำหรับเมนูที่มากมาย หลายหลาก อลังการงานสร้าง แบบอาหลอง ตัด 1 คะแนนเดินมาไกลจนเมียงอน อีก 1 คะแนนรสชาติ เอ๊ะ! หรือผมกินกาแฟไม่เป็นก็ไม่รู้นะ ผมว่ากาแฟมันไม่โดนเท่าไหร่น่ะ
ออกจากโจมา ผมเรียกสกายแล็ปกลับสะพานมิตรภาพฯ คนขับขอ 100,000 กีบ (400 บาท) ผมบอกผมไม่มีเงินกีบแล้ว เหลือแต่เงินไทย พี่ถามให้เท่าไหร่ ผมตอบเต็มที่ 180 บาท ปฏิเสธกันพลันละวัน บอกราคาเท่านี้อย่างไงก็ไม่ได้ แต่ก็มีคนขับนายหนึ่งอาสาพาผมและภรรยาไปส่งที่ตลาดเซ้า และต่อรถจากตลาดเซ้า ต่อไปจนถึงสะพานมิตรภาพ ในราคา 180 บาท เออ อย่างนี้สิ ค่อยคุยกันได้หนอ่ย
ตลาดเซ้าคงเหมือนกาดหลวงของเชียงใหม่ เป็นทั้งที่ค้าขาย เป็นทั้งคิวรถ พี่คนขับแกคงไปกินหัวคิวรถที่ตลาดเซ้าอีกต่อหนึ่ง 180 บาทของผม คงแบ่งๆกันไป แต่ผมก็พอใจแล้ว ถูกกว่า 400 บาท ตั้งเยอะ
ถึงสะพานมิตรภาพฯ เราเดินเล่นร้านปลอดภาษีกันแป๊บหนึ่ง แล้วจึงผ่านแดน เพิ่งเคยเห็นว่าคนลาวยื่นเอกสารผ่านแดน ฝากๆกันได้ด้วย ไม่เข้าคิว ไม่ดูหน้า ค่ารถบัสข้ามสะพาน ขามาจ่ายที่ฝั่งไทย คนละ 15 บาท แต่ขากลับจ่ายที่ฝั่งลาว ให้แบ็งค์ 20 พี่ท่านไม่ทอนเว้ย แถมปล่อยคนขึ้นมาอัดกันบนรถจนผมเกือบตกเป็นเมียฝรั่งคนข้างๆ
อะเมซซิ่งเวียงจันทร์!!!
กลับถึงฝั่งไทย ผมกลับโรงแรม อาบน้ำชาร์จพลัง แล้วออกมาเดินชิลล์ที่ตลาดท่าสเด็จ หรือตลาดอินโดจีน หรือตลาดท่าเรือ ตามแต่จะเรียก อีกรอบ เป้าหมายวันนี้คือ ซื้อเสื้อยืดที่ระลึกสักคนละตัว และกินข้าวเย็นที่ร้าน "แดงแหนมเนือง"
แดงแหนมเนือง เป็นร้านอันดับ 1 ของที่นี่เลยก็ว่าได้ เห็นไปที่ไหนมีแต่ป้าย "แดงแหนมเนือง" "สนับสนุนโดยแดงแหนมเนือง" ป้อมตำรวจยังมีป้ายแดงแหนมเนือง
เราสั่งแหนมเนืองชุดเล็ก ไส้กรอกอีสาน หมูยอหนัง ปอเปี้ยะทอด อืม...ร้านนี้พูดได้เลยว่าอร่อย ไม่เสียแรงที่เค้าดัง มื้อนี้จำราคาได้ไม่ชัด สองร้อยกว่าบาทนี่ล่ะ ไม่แพง ผมให้ 9/10 ได้เลย แอบตัด 1 คะแนนเมนูน้อยไปนิด นี่ถ้ามาซ้ำรอบสอง ก็ไม่รู้จะสั่งอะไรมาลองกินแล้ว
...(ต่อตอน 3 ครับ)...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น