วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรื่อยๆ ชิลล์ๆ ดูวิวโขง ตอน 1 : กว่าจะถึงเวียงจันทร์

          ผมไปเที่ยวมาครับ ขับรถไป จากความตั้งใจที่ว่า ตัวเองอยู่เชียงใหม่ ไปเที่ยวจังหวัดในภาคเหนือมาจนครบแล้ว อยากจะลองไปอีสานดูบ้าง เลยวางแผนกับคุณภรรยา กำหนดค่าใช้จ่าย จองโรงแรมกับเวบ agoda ลางาน แล้วออกเดินทาง


          เราออกเดินทางกันตั้งแต่ตีสี่ เป้าหมายวันแรกคือจะแวะทำธุระที่ตัวเมืองอุดรธานี แล้วค้างที่หนองคาย รวมระยะทางประมาณ 700 กิโลเมตร วิ่งจากเชียงใหม่ แยกออกสาย 11 ที่ลำปาง แวะเติมน้ำมันในปั๊มเชลล์เต็มถัง 1,700 บาท น้ำมันดีเซลสูตรพิเศษอะไรของเชลล์เค้าก็ไม่รู้ ลิตรละตั้ง 33 บาทกว่า แพงกว่าดีเซล์ปั๊มอื่นลิตรละ 3 บาท

          ขับสบายๆ เพราะยังเช้ามาก หมอกลงหนาจนได้ลองใช้ไฟตัดหมอก (ไม่เคยได้ใช้เลยตั้งแต่ซื้อรถ) ผ่านแพร่ เด่นชัย แวะเติมพลังด้วยอาหารเช้าแบบเร่งด่วนที่เซเว่นอิเลฟเว่นอุตรดิถต์ ถึงสี่แยกน้ำอ่างเราเลี้ยวซ้ายเข้าสา่ย 1214 ผ่านทองแสนขัน ชาติตระการ นครไทย ด่านซ้าย ภูเรือ มุ่งหน้าสู่จังหวัดเลย ผ่านหนองบัวลำภู ถนนช่วงนี้ขับรถค่อนข้างยาก เนื่องจากเป็น 2 เลน สวนทางกัน แล้วยังมีรถบรรทุกพี่อ้อยขวาง วิ่งทำพี่อ้อยร่วงอยู่เป็นระยะ แล้วเข้าสู่อำเภอเมืองอุดรฯ นับว่าเป็นถนนที่ผ่านจังหวัดหลากหลายเอามากๆ

          ออกจากอุดรฯ ราวบ่ายโมง มาตามเส้น 2 อุดรฯ-หนองคาย ประมาณ 10 กิโลเมตร เราแวะร้านอร่อย "กาฬสินธุ์กุ้งเผา" สั่ง ปลาช่อนอกแตก (250 บาท) กุ้งชุบแป้งทอด (90) และกุ้ยช่ายขาว-ยอดมะพร้าวผัดหมูกรอบ (150) รสชาติดี จานใหญ่จนต้องห่อกลับ แนะนำให้ไปกันหลายๆคน เพราะแต่ละเมนูจานใหญ่มาก ไปหลายคน จะได้สั่งได้หลายๆอย่างร้านนี้ให้ 8/10 ครับ ตัด 1 คะแนนราคา ถูกกว่านี้อีกนิดจะดีมาก อีก 1 คะแนนคือที่จอดรถ ที่จอดรถไม่พอครับ จอดกันระแกะระกะเลย


          ถึงหนองคาย เช็คอินที่โรงแรม "ไวท์อินน์โฮเต็ล" ตอนจองกับ agoda จำราคาไม่ได้แน่ชัด ราวๆ 800 บาท เห็นจะได้ รวมอาหารเช้าด้วย เราประทับใจนะ ห้องนอน ห้องน้ำ กว้างดี ผู้ดูแลอัธยาศัยดีมาก ทักทาย ชวนคุย แนะนำข้อมูลท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ อย่างตลาดท่าเสด็จแหล่งช็อปปิ้งนี่ เดินสัก 500 เมตรก็ถึง กลางคืนยังมีแหล่งขายอาหารอยู่ใกล้ๆ โรงแรม


          วางกระเป๋า ล้างหน้าล้างตา แล้วเดินไปเที่ยวตลาดท่าเสด็จกันต่อเลยครับ ระหว่างทางก็จะผ่านบรรยากาศแบบเก่าๆ จากตึกรามบ้านช่องระแวกนั้น นี่ถ้าอากาศหนาวสักหน่อย คงเดินสนุกเอามากๆ แต่วันนี้แดดแรง ร้อนเอาการเลย

  

          ตลาดท่าเสด็จ อยู่ติดริมแม่น้ำโขง มองเห็นประเทศลาว และสะพานมิตรภาพไทย-ลาว อยู่ไกลๆขายสินค้าคละประเภท เช่นเดียวกับ ตลาดแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ของเชียงราย มีหมดล่ะไม่ว่าจะเป็น เครื่องไฟฟ้า ดีวีดี เสื้อผ้า ของกิน ฯลฯ ราคาไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่านะ เห็นอัลม่อนถุงละ 190 มะม่วงหิมพานต์ 250 ซึ่งผมไม่ค่อยเท่าไหร่กับของพวกนี้ คุณภรรยาบอก "แม่สายเจ๋งกว่า"
          
          เราเลยเลือกที่จะเดินดูเฉยๆ แล้วหามุมหัดถ่ายรูปจนค่ำ ก่อนกลับไปนอนยังเดินเลยไปถึงถนนสายอาหาร และอนุสาวรีย์ปราบฮ้อ น่าเสียดายที่ถนนกำลังซ่อมกันเยอะ เดินลำบาก และสกปรก


          เช้าวันที่ 2 ผมตื่นแต่เช้าเนื่องจากเมื่อคืนนอนเร็ว (ก็ง่วงน่ะ ตื่นมาเตรียมตัวขับรถตั้งแต่ตี 3) ปลุกภรรยาว่าหาอะไรทำกันดีกว่า ผมหมายถึงเดินเล่นยามเช้านะ (ฮา) เธออิดออดสักพัก บอกถ้าผมนวดเท้าให้ จะตาสว่างเร็วขึ้น ดูเค้าทำ

          ที่ไวท์อินน์โฮเต็ล มีอาหารเช้าเลี้ยง แต่เราตัดสินใจออกไปหาไข่กะทะร้านดังกินกัน เป็นร้านที่ผมค้นข้อมูลมาจากอินเตอร์เน็ท ถามทิศทางกับเจ้าหน้าที่โรงแรมเล็กน้อย เราก็มาถึงร้าน "ทานตะวัน" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ระหว่างทางยังเห็นบรรยากาศยามเช้า นักเรียนนั่งรถโรงเรียน คุณพ่อซื้ออาหารเช้าให้คุณลูก นานๆจะตื่นเช้าอย่างนี้สักที สมัยเรียนยังไม่ขยันขนาดนี้ (ผมกับบรรยากาศยามเช้า จะเหมือนคู่รักที่รักกันมาก แต่ไม่ได้พบกัน)


          ร้านทานตะวัน มีสภาพดี (ที่เห็นนั่งกันเยอะๆหน้าร้านนี่คือแม่ค้าล็อตเตอรี่) ขายอาหารเช้าหลายอย่าง ชา-กาแฟ ไข่กะทะ (35 บาท) ขนมปังยัดไส้ (แป้งจี่ 15 บาท) และยังมีข้าวราดกับต่างๆด้วย แต่ส่วนตัวผมแล้วผมว่างั้นๆนะ ไม่สามารถพูดได้ว่าอร่อยจัง ให้ 6/10 พอ ขากลับแวะซื้อ หมูปรุงรสปิ้ง (5 บาท) จากรถเข็นข้างทางมาชิม 1 ไม้ เออ!...อร่อย


          ผมตั้งใจจะเดินทางสู่เวียงจันทร์โดยรถไฟ ซึ่งศึกษามาแล้วว่ามีวันละแค่ 2 เที่ยว เที่ยวเช้าออกจากสถานีหนองคาย 9.30 น. และใช้เวลาบนรถไฟเพียง 10 นาทีเท่านั้น ใครเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง ไอ้นั่งรถบัสผ่านแดนน่ะมันเด็กๆ ผมต้องนี่เลย "รถไฟไทย"

          เหมารถสองแถว "สกายแล็ป" จากไวท์อินน์ถึงสถานีรถไฟหนองคาย 60 บาท ยกนาฬิกาขึ้นดูก็เพิ่งจะ 8 โมงตรง พอถามซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่สถานี เจ้าหน้าที่บอก "รถไฟจะเข้าสถานีช้านะครับ น่าจะราวๆ 10 โมงครึ่ง" โอว...! รถไฟแค่ 10 นาที แต่ Late ทีละชั่วโมงเนี่ยนะ ผมอึ้งกับมาตรฐานไทยๆขึ้นมาอีกครั้ง นี่เลย "รถไฟไทย"


           ผมต้องเปลี่ยนแผนกระทันหันก่อนที่จะถูกภรรยาด่า ไม่ได้การละ ไปสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ดีกว่า เสียค่าสกายแล็ปไปอีก 60 บาท กรอกเอกสารออกเมือง แสดงหนังสือเดินทาง (ซึ่งขั้นตอนนี้สามารถแทนที่ได้ด้วยการทำใบผ่านแดนชั่วคราวแทนพาสปอร์ต ซึ่งมีร้านรับทำอยู่เยอะมาก คนขับรถสกายแล็ปยังรับทำเลย แต่ผมเลือกที่จะใช้พาสปอร์ต เพราะผมอยากได้รอยประทับในหนังสือเดินทางเป็นที่ระลึก) ผ่านขั้่นตอนตรวจคนออกเมือง (ไทย) โชคดีที่คนไม่เยอะ แล้วนั่งรถตู้ขามสะพานมิตรภาพฯ ค่ารถ 15 บาท

          นั่งรถตู้ยังไม่ทันได้มองอะไรก็ถึงฝั่งลาว แลกสตางค์กีบ (200 บาท คุณภรรยาไปแลกมาได้ 51,000 กีบ) กรอกเอกสารเข้าเมืองกันอีกรอบ เข้าแถวตรวจคนเข้าเมือง (ลาว) หลุดมาได้ก็หารถเที่ยว ช่วงนี้จะชุลมุนหน่อย เพราะจะมีคนลาวใจดีมาอาสาพาคุณเที่ยว มีตั้งแต่เหมารถตู้ทัวร์แบบจัดเต็ม ราคาประมาณหนึ่งพันบาท แปดร้อยบาท หกร้อย สี่ร้อย ลดหลั่นตามอุณหภูมิการแข่งขัน

          เรากะไม่เหมาทัวร์อยู่แล้ว เพราะคงมีแรงเที่ยวได้ไม่กี่ที่ ไป 2 คน เหมารถตู้ทัวร์แบบจัดเต็มไม่คุ้มแน่ ผมจึงเลือกสกายแล็ปอีกแล้ว เพราะถูกดี อ้าย (แปลว่าพี่ชาย) คนรถ ตอนแรกเรียก 2 คน 200 บาท แล้วลดเหลือ 150 บาท ผมชี้เอาทันที! ทำเอาคู่ต่อสู้การประกวดราคาค้อนกันปะหลับปะเหลือก

          นั่งรถต่อไปได้สัก 30 นาที (เวียงจันทร์อยู่ห่างจากสะพานมิตรภาพฯประมาณ 20 กิโลเมตร) สกายแล็ปแวะส่งผู้โดยสารคนอื่นๆที่ตลาดซ้าว (ออกเสียง ซ.โซ่) พาแหวกถนนที่รถมากไม่แพ้เมืองไทย แล้วส่งเราที่วัดพระธาตุหลวง สัญลักษณ์ของเมืองเวียงจันทร์


          ผมและภรรยามองหน้ากันเพราะอากาศไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหมายไว้ คือมันร้อนและแดดแรง ร่มเงาไม้ก็มีไม่มาก เรางัดอุปกรณ์กันแดดเท่าที่ได้เตรียมมา แล้วแข็งใจเดินถ่ายรูป ...(ต่อตอน 2 ครับ)...


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น