วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรื่อยๆ ชิลล์ๆ ดูวิวโขง ตอน 3 : กินๆเที่ยวๆ เลี้ยวเข้าอีสาน

          ที่หนองคาย มีหลายร้านที่มักจะตั้งชื่อร้านเป็นประโยคคำถาม เช่นร้านขนมปัง "ปังอ๊ะป่าว" "ปังไหมล่ะ" หรือ "น้ำไรอ่ะ" นี่ขายน้ำปั่น ชวนให้คิดไปถึงว่า อาจจะมีโรงแรม "นอนไหมเล่า" ปั๊มน้ำมัน "เบนซินป่าวอ่ะ" หรือสถานีตำรวจ "ปรับได้ป่าว" (ฮ่า)

          เช้าที่ 2 ในหนองคาย เ้ช้าที่ 3 ของการเดินทาง ผมตื่นเช้าอีกแล้ว ไม่รู้คึกอะไรมาทริปนี้ขยันตื่นจัง เมื่อคืนซัดพาราเซตามอลไป 2 เม็ด แล้วนอนเลย เช้านี้เราตั้งใจจะลองอาหารเช้าของโรงแรมไวท์อินน์แห่งนี้บ้าง ข้อแรกคือเมื่อวานที่ไปชิมไข่กะทะมา ไม่ประทับใจเท่าที่ควร ข้อสองคือกะเอาให้คุ้มหน่อย ค่าห้องเค้ารวมค่าอาหารเช้าไปแล้ว

          ห้องรับประทานอาหารมีแขกเพียง 2 โต๊ะเท่านั้น อาหารก็มีเมนูให้เลือกไม่กี่อย่าง ไมโล-กาแฟ ขนมปังปิ้ง-เนย ไข่ดาว ไส้กรอก แฮม ข้าวต้ม-กุนเชียงทอด ผักกาดดอง ปลากรอบ ข้าวสวย-กะเพราไก่ หมูอบ

          แต่เฮ้ย! รสชาติใช้ได้เลย ตอนแรกกะเอาแค่รองท้องกะไปกินกลางทาง แต่กินไปกินมาล่อซะอิ่ม กะกินอีกทีก็บ่ายๆไปเลย ไม่น่าเชื่อนะ น้อยนิดแต่ใหญ่ยิ่ง!


          กินเสร็จเราเตรียมตัวอีกนิดหน่อย แล้วออกเดินทางสู่เป้าหมายที่ 2 จังหวัดนครพนม

          มีเสียงแนะนำมาว่า จากหนองคาย ถ้าจะไปนครพนม ให้ไปตามเส้น 212 เลียบแม่น้ำโขง ผ่านจังหวัดบึงกาฬ จะขับสบายกว่า และใกล้กว่า แต่ผมตั้งใจจะพาคุณภรรยาไปให้ถึงอำเภอธาตุพนม เพื่อสักการะพระธาตุพนม พระธาตุประจำปีเกิดของภรรยา (ปีวอก) จึงเลือกเดินทางกลับไปทางอุดรธานี แวะเติมน้ำมันอีก 1 ถัง 1,500 บาท (น้ำมัน ปตท.ถูกว่าเชลล์แฮะ) แล้ววิ่งตามเส้น 22 ผ่าน อำเภอสว่างแดนดิน พรรณานิคม แล้วเข้าสกลนคร ถนนขับยากนิดหน่อยเนื่องจากเป็น 2 เลน รถต้องวิ่งสวนทางกัน และมีรถบรรทุกอยู่บางช่วง ระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร โดยหวังจะหา้ร้านสเต็กเนื้อโพนยางคำของแท้ กินเป็นวาสนาลิ้นสักครั้งหนึ่งในชีวิต (เห็นฮิตกันนักหนา โพนยางคำ แต่ของผมกินถึงแหล่งเว้ยเฮ้ย!)

          จากตัวเมืองสกลนคร ออกหมายเลขอะไรจำไม่ได้แล้ว จำได้แต่เพียงเป็นสายที่มุ่งหน้าสู่อำเภอนาแก และอำเภอธาตุพนม ขับเรื่อยๆไม่ไกล ก็เห็นป้าย "บ้านโพนยางคำ" ทางซ้ายมือ เอาละเว้ย! ใกล้แล้วใกล้แล้ว ขับมาจนเจอป้าย "สหกรณ์การเลี้ยงปศุสัตว์ กรป. กลาง โพนยางคำ จำกัด" อันเบ้อเร้อใหม่เอี่ยมทางขวามือ ก็เลี้ยวขวา มีป้ายบอกร้านสเต็ก 600 เมตร


          ร้านสเต็กตกแต่งแบบง่ายๆ ไม่มีอะไรเด่น มีกลิ่นขี้วัวโชยมาเป็นระยะ จอดรถแบบง่ายๆ ส้วมก็เป็นแบบง่ายๆ โต๊ะ-เก้าอี้ก็ง่ายๆ แต่ลูกค้าก็ไม่น้อย ผมไปถึงตอนสักบ่ายโมงครึ่ง พอมีโต๊ะว่าง นี่ถ้ามาช่วงเที่ยงก็ไม่แน่ใจ

          เมนูราคาไม่แพง ผมสั่งเซอร์ลอยสะเต็ก (175 บาท) เสิร์ฟพร้อมมันทอด และสลัดผัก (แบบง่ายๆอีกเหมือนกัน คือมันทอดง่ายๆ กับสลัดง่ายๆที่ประกอบไปด้วยกระหล่ำปลีซอยกับมะเขือเทศนิดหน่อย) คุณภรรยาสั่ง ซัคสเต็ก (140 บาท) แล้วหันมาถามผม "อะไรวะ" ผมตอบในฐานะที่เรียนด้านปศุสัตว์มาโดยตรง "อ๋อ ซัคไง เคยดูหนังเรื่องซัคซี๊ดห่วยขั้นเทพไหมล่ะ ซัคสเต็กก็คือสเต็กห่วยๆมั้ง" เธอสบายใจที่ได้คำตอบ ร้านนี้ผมให้ 7/10 ครับ ตัด 1 คะแนนคุณภาพเครื่องเคียง 1 คะแนนไปลำบาก และอีก 1 คะแนนบรรยากาศร้าน นี่ถ้าร้านสวย ทำที่จอดรถดีๆ และไม่เหม็นขี้วัวนะ เอา 10 เต็มไปเลย


          สบายใจ สบายท้องกับโพนยางคำของแท้สุดๆกันแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่อำเภอธาตุพนม อำเภอนี้อยู่ห่างจากอำเภอเมืองนครพนม ทางทิศใต้ประมาณ 50 กิโลเมตร เราเข้าเมืองแล้วมองหาสัญลักษณ์ของเมืองนี้ ซึ่งหาไม่ยากนัก มองเห็นอยู่ไกลๆ เราก็ค่อยๆขับเข้าไปหาให้ใกล้ที่สุด

          มารู้ตัวอีกทีก็เข้าเขตวัดพระธาตุพนมแล้ว เป็นวัดที่สวยงาม และใหญ่มาก ขณะชลอรถหาที่จอดยังไม่สนิทดี บรรดาแม่ค้าขายดอกไม้ก็เฮโลเข้ามาที่รถ! นึกถึงภาพซอมบี้ในหนังเรสซิเด้นอีวิลที่ล้อมกันเข้ามาหารถ! ผมก็สวมวิญญาณพระเอกหนังขับรถหนีหาที่จอดใหม่!


          ท่ามกลางเสียงประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ทำบุญ และเสียงประชาสัมพันธ์ว่าในบริเวณวัด จอดรถที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องเกรงใจแม่ค้าขายดอกไม้ เข้ามาอุดหนุนดอกไม้ที่ทางวัดเตรียมไว้ดีกว่า เราสักการะพระธาตุ ทำบุญ และเดินดูมุมต่างๆภายในวัด ดูคุณภรรยาอิ่มเอิบใจดีมาก โทรฯหาแม่บรรยายถึงความประทับใจ ดูมีความสุขสมหวังเหมือนบรรลุวัตถุประสงค์อะไรสักอย่างในชีวิต ที่รอมาแสนนาน (ถึงแดดจะร้อนแต่ดูเธอมีความสุขจริงๆนะ)


          ออกจากวัด เรากลับเข้าอำเภอเมืองนครพนม โดยใช้เส้นทาง 212 เลียบแม่น้ำโขง เห็นวิวแม่น้ำโขงและฝั่งลาวเป็นระยะ ขับสบายๆเพราะถนนดี 4 เลน รถไม่ต้องสวนกัน ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ก็ถึงเมืองนครพนม หาไปหามาปรากฏว่าเลยโรงแรมที่ได้จองไว้ "ไอ-โฮเตล" มาแล้ว เลยต้องย้อนกลับทางเดิม

          ไอ-โฮเตล อยู่ห่างจากเมืองนครพนม 2.5 กิโลเมตร ถ้ามาจากอำเภอธาตุพนมจะอยู่ขวามือก่อนเข้าเมือง ติดราคาไว้หน้าโรงแรมว่า สมาชิก 400 บาท ทั่วไป 590 บาท ต่อคืน มีเครื่องดื่ม และขนมปังปิ้ง ให้กินฟรีนิดหน่อยในตอนเช้า ตกแต่งแบบสมัยใหม่ ไม่มีห้องอาหาร ล็อบบี้แคบๆ มีโต๊ะพูล 1 ตัว และทีวีที่มีป้ายบอกว่า ถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีคนะเฟ้ย!

          
          ห้องก็กว้างมาตรฐาน แต่เตียงยับไปหน่อยนะ เราพักผ่อนสักครู่ แล้วออกไปลุยกันต่อในเมืองนครพนม พยายามขับรถผ่านสถานที่ต่างๆ ชะโงกดูวิวแม่น้ำโขง แล้วไปเดินเล่นที่ตลาดโต้รุ่ง

          อากาศที่นี่ดีครับ เย็นที่สุดในทริปนี้ ได้ล้วงเอาเสื้อกันหนาวจากเป้มาใส่ นึกว่าจะไม่ได้ใช้ซะแล้ว ตลาดก็น่าสนใจ มีของน่ากินหลายอย่าง คุณภรรยาเลือกซื้อหมูปิ้งธรรมดา หมูปิ้งห่อใบยอ และหมูปิ้งแบบหมูสับปรุงรส (ไม้ละ 5 บาท) ชิมคู่กับข้าวจี่ (ข้าวเหนียวปั้นแบนๆ ทาไข่ไก่แล้วย่างไฟ 2 ชิ้น 5 บาท) หมูมันๆ ข้าวอุ่นๆ อร่อยอ่ะ! ก่อนกลับยังซื้อหมูยอปรุงรสมาชิมอีก 1 ชิ้น ชิ้นเท่าแผ่นดีวีดี (25 บาท) และซาลาเปาหมูสับ (10 บาท)


          ก่อนกลับที่พัก อากาศเย็นลงเรื่อยๆ เราตระเวนหามื้อเย็นจนมาได้ที่ "ครัวริมโขง" เป็นร้านแนวผับมีแสดงดนตรี และมีห้องคาราโอเกะด้วย ร้านนี้อยู่ริมแม่น้ำโขงเลย แต่เรานั่งชมวิวริมน้ำไม่ไหวแน่เพราะลมแรงเหลือเกิน เลยขอนั่งในห้องกระจกด้านใน เราสั่งชุดหม้อไฟปลาคัง จริงๆเค้ามีปลาให้เลือก 4 ชนิด ปลาคัง ปลาบึก ปลาแข้ แล้วก็ปลาอะไรอีกอย่างจำชื่อไม่ได้ ผมเลือกปลาคังเพราะคุ้นชื่อที่สุด เคยกินปลาคังลวกจิ้มมาบ้าง ปลาบึกผมว่ามันคาว ส่วนไอ้ปลาอีก 2 อย่างที่เหลือไม่รู้จัก

          ชุดนี้ 199 บาท ก็คุ้มค่าดี ให้ผักมาเยอะมาก ผักบุ้ง ผักกาดขาว คึ่นช่าย ใส่ลงในหม้อมองแล้วนึกว่าจับฉ่าย ไหนจะวุ้นเส้นอีก หนาวๆได้ซดน้ำจับฉ่ายอุ่นๆ ที่คุณภรรยาคอยตักให้เอาใจ ร้านนี้สั่งเค้ากินแค่อย่างเดียว ให้คะแนนไม่ถูกครับ

     
      ...(ต่อตอน 4 ครับ)...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น